โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง (อังกฤษ: Joanne "Jo" Rowling, OBE) หรือที่รู้จักในนามปากกา เจ. เค.
โรว์ลิ่ง (เกิด 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2508) ผู้แต่งวรรณกรรมเรื่อง แฮร์รี่
พอตเตอร์ มีทรัพย์สินร่วม 2,000 ล้านบาท ขึ้นทำเนียบบุคคลรวยที่สุดอันดับ 122
ของอังกฤษ
เธอเกิดมาในครอบครัวของนักอ่าน บิดามารดาสะสมหนังสือไว้มากมาย ปีเตอร์
พ่อของเธอเป็นวิศวกร ในขณะที่ แอนด์
แม่ของเธอเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-สกอตต์ ทำหน้าที่แม่บ้านดูแลเธอ และ ได น้องสาว
โจเขียนหนังสือเรื่องแรกของเธอมีชื่อว่า Rabbit เมื่ออายุเพียงห้าขวบ
และพ่อแม่ของเธอก็กระตือรือร้นในการปลูกฝังจินตนาการของลูกสาวคนโต เมื่อโจอายุได้ 14
แม่ของเธอก็ป่วยเป็นโรคเส้นโลหิตตีบ
เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา
เจ.เค.โรว์ลิ่งเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ แต่
หลังจากเรียนจบแล้วเธอมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน และได้งานเป็นเลขานุการองค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้ถือกำเนิดขึ้น ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์
และคิงส์ครอสในลอนดอน
โจแอนก็แว่บความคิดเกี่ยวกับเด็กกำพร้าผู้ค้นพบว่าเขาคือพ่อมด เธอรีบตรงกลับบ้านและบันทึกความคิดนี้ลงบนกระดาษทันที
และนี่คือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในหกปีต่อมา
ต่อมาเจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ
ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า
ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว
ระหว่างที่เธอกลายเป็นคนว่างงานและเลี้ยงชีพด้วยเงินช่วยเหลือของรัฐบาลนี้
เจ.เค.ใช้เวลาว่างเขียนนวนิยายเกี่ยวกับเด็กชายพ่อมดที่เริ่มไว้จนจบ เจ.เค.โรวลิ่ง
เคยให้สัมภาษณ์ว่าเธอเลี้ยงลูกสาวตามลำพังด้วยเช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์
อาศัยอยู่ในแฟลตโลโซ (หนูชุม) ค่าเช่าอาทิตย์ละ 230 ปอนด์
ซึ่งทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน
พลางเขียนนิยายที่กลายเป็นหนังสือเบส์เซลเล่อร์ทั่วโลก
และหลังจากถูกปฏิเสธจากหลายสำนักพิมพ์
ในที่สุดเจ.เค.ก็ขายลิขสิทธิ์เรื่องนี้ได้โดยได้รับเงินราว 4,000 ดอลลาร์
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ผลงานชิ้นแรกของเธอได้โอกาสตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี
1997 ด้วยยอดพิมพ์ต่ำกว่า 1,000 ฉบับ โดยเจ้าของสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอใช้ตัว เจ.
ที่เป็นตัวย่อชื่อหน้าของเธอเป็นนามปากกาดีกว่าใช้ชื่อจริงของเธอว่า โจแอนน์
เนื่องจากนักอ่านเด็กผู้ชายอาจจะไม่ชอบที่รู้ว่าเป็นงานที่ผู้หญิงเขียน
โดยตัวย่อชื่อกลางอย่างตัว เค. นั้นเธอยืมมาจากเคธลีน
ซึ่งเป็นชื่อของย่าเธอนั่นเอง
หลังจากที่ผลงานเล่มแรกของเธอเปลี่ยนหัวให้เป็น แฮร์รี่
พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์สำหรับการจัดจำหน่ายในสหรัฐฯเมื่อปี 1998 ทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์แฮร์รีฟีเวอร์ทันที
หลังจากผลิตผลงานมาทุกปีตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2000
เธอก็หยุดพัก
ซึ่งเป็นระยะห่างของเวลาถึง 3 ปีระหว่าง แฮร์รี่
พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ผลงานเล่มที่ 4 และ แฮร์รี่
พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ ผลงานเล่มที่ 5 ที่ออกสู่สายตาแฟนหนังสือเมื่อปี
2003 ซึ่งช่วงที่เว้นว่างนั้นเอง เธอได้แต่งงานอีกครั้งกับ นิล เมอร์เรย์
นายแพทย์ชาวสก็อตต์ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านที่เอดินเบรอะ ร่วมกับลูกๆ ทั้ง 2 คนของพวกเขาทั้ง
เดวิด วัย 4 ขวบ และ แม็คเคนซี วัย 2 ขวบ รวมทั้ง เจสซิกา
ลูกสาวที่เกิดจากอดีตสามีนักข่าวชาวโปรตุเกส
ในที่สุดปี 2005 ผลงานภาคที่ 6 ของเธอ แฮร์รี่
พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมออกวางจำหน่าย โดยในวันแรกสามารถขายได้มากถึง 850,000เล่ม
โดยหลังจากนั้นสามารถขายได้ถึง 65 ล้านเล่ม และในเล่มนี้
โรว์ลิ่งยังทิ้งปมปริศนาไว้มากมายและเธอพร้อมแล้วที่เธอจะเขียนเล่มที่ 7 เล่มสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่
พอตเตอร์
ปลายปี 2006 เธอได้ประกาศชื่อตอนของเล่มที่ 7 ซึ่งชื่อนั้นก็คือ แฮร์รี่
พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตซึ่งได้มีการคาดการต่างๆถึงเหตุการณ์ในเรื่องชื่อตอน
ความหมายของเชื่อตอน ในประเทศไทยเองก็ได้มีการแต่งเรื่องของเล่ม 7 ขึ้นมาจากการคาดเดา
และคาดเดาชื่อและแปลชื่ออกมาคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเสียงเพรียกแห่งความตาย
ซึ่งเป็นการแปลที่ผิด เพราะคำว่า Hallows ไม่ได้หมายถึงเสียงร้องหรือเสียงเรียกอย่างเดียวแต่ยังหมายถึงการทำให้ศักสิทธิ์หรือศักสิทธิ์
ในกลางปี 2007 ราวเดือนกรกฎาคม แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาค 7 วางจำหน่าย
เฉพาะวันแรกที่วางจำหน่ายแล้วสามารถขายได้ถึง 1.2 ล้านเล่ม
เฉพาะที่อังกฤษเท่านั้น ไม่ถึงอาทิตย์ขายไปได้ถึง 44 ล้านเล่ม
ในไม่กี่วัน ลบล้างสถิติของภาคที่ 6 ไปอย่างถล่มทลาย และชื่อภาษาไทยคือ แฮร์รี่
พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต
ปี 2008 หลังจากหนังสือเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่มีชื่อว่า
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตวางแผงและออกจำหน่าย ซึ่งในเนื้อหาของเล่มที่7นี้ได้จบเรื่องราวของพ่อมดแฮร์รี่
พอตเตอร์ลง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีกระแสเรียกร้องให้ เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียน
เขียนหนังสือชุดนี้ในเล่มที่ 8 เธอออกมากล่าวว่า
เธอไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่มีหนังสือเล่มที่ 8 แต่ตอนนี้เธอยังไม่ได้เขียน
ซึ่งถ้าเธอจะเขียนอาจจะหลังจากนี้อีกซะสิบปีแล้วค่อยว่ากันอีกที่
แต่เธอก็ได้ประกาศว่าเธอได้เขียนหนังสือนิยายเล่มใหม่ของเธอ
พร้อมกับบอกว่าเธอได้เขียนหนังสือสารานุกรมเกี่ยวกับแฮร์รี่
พอตเตอร์ซึ่งมีเรื่องต่างๆเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่เธอไม่ได้เขียนลงในหนังสือ
เธอจะนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านได้อ่านกันในหนังสือสารานุกรมนี้แต่เธอพูดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหน่อย
หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนสำนักพิมพ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้ตีพิมพ์หนังสือสารานุกรมไปก่อนหน้าที่เจ. เค. โรว์ลิ่งจะได้เขียน
จึงได้เกิดการฟ้องร้องต่อศาลที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเธอได้ฟ้องร้องสำนักพิมพ์ที่นำสารานุกรมไปจำหน่ายโดยไม่ขอเธอ
และชนะการฟ้องครั้งนั้นในที่สุด
หลังจากการฟ้องร้องจบลงเธอได้เขียนนิทานที่เขียนด้วยลายมือของเธอเอง
ในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Tales of Beedle The Bard หรือในชื่อภาษาไทยที่ชื่อว่า
เดอะ บีเดิล ยอดกวี ซึ่งนิทานเล่มนี้ได้มีปรากฏอยู่ในเล่มที่ 7 ซึ่งเธอเขียนขึ้นมาเจ็ดเล่มในโลกเท่านั้น
และได้นำหกเล่มไปบริจาคให้กับบุคคลที่ได้ทำใหเธอประสบความสำเร็จ
อีกหนึ่งเล่มนำไปประมูล ในราคาหลายล้านปอนด์
แต่ก็ได้มีเด็กสาวชาวออสเตรเลียคนหนึ่งซึ่งได้แต่งคำกลอนประกวดและชนะเลิศโดยเธอได้อ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตามสำนักพิมพ์ของอังกฤษก็ได้เตรียมการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้และในวันที่
4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เป็นการวางแผงและจำหน่ายหนังสือเล่มนี้อีกด้วย
ส่วนในประเทศไทยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ก็ยังไม่ได้ยืนยันว่าจะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้หรือไม่
ซึ่งเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ
แฮร์รี่ก็ร้องเรียนและเฝ้าถามบริษัทนานมีบุ๊คส์แทบทุกวัน
ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาอื่นถึง 23 ภาษาไปแล้ว ได้แก่ ภาษาอังกฤษและอเมริกาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ดัตช์ อิตาลี เกาหลี โปแลนด์ สโลวาเกีย จีนไต้หวัน เช็ก โปรตุเกสบราซิลเดนมาร์ก โปรตุเกส นอร์เวย์ รัสเซีย ฮิบรู สเปน ฮังการี กรีก สเปน จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และฟินแลนด์ แต่แฟนๆ
หนังสือที่ทนรอไม่ได้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่าให้ตีพิมพ์หรือไม่ก็บอกว่าจะถูกสำนักพิมพ์อื่นซื้อลิขสิทธิ์และออกจำหน่ายแทนนานมีบุ๊คส์
แต่ทางนานมีบุ๊คก็บอกว่าจะต้องรออีกหน่อยเพราะกำลังประชุมเรื่องนี้อยู่
แต่หลังจากเจ. เค.
โรว์ลิ่งได้เขียนหนังสือนิทานเล่มนี้แล้วนั้นเธอก็ได้เขียนเรื่องราวสั้นๆ จำนวน 800
คำ
ลงในกระดาษที่เป็นเรื่องราวของเจมส์ พอตเตอร์กับ ซีเรียส แบล็ก
ปะทะกับตำรวจมักเกิ้ลธรรมดา เป็นเรื่องราวก่อนแฮร์รี่จะเกิด 3 ปี
แรงบันดาลใจ
เจ. เค. โรว์ลิ่ง ในวัยเด็กเป็นเด็กที่เรียกได้ว่าอยู่เคียงข้างกับหนังสือตลอดก็ว่าได้เธอรักการอ่านหนังสือเป็นพิเศษ
พ่อของเธอ ปีเตอร์ โรว์ลิ่ง
มักคอยเล่านิทานหรือหนังสือต่างๆที่มีอยู่ในบ้านให้โรว์ลิ่งได้ฟัง
ซึ่งโรว์ลิ่งก็ชอบมากเป็นพิเศษ เธอมักชอบให้พ่อของเธอเล่านิทานเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ
เช่น การผจญภัยของกระต่าย เป็นต้น จนเธอเริ่มไขว่คว้าที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ
เธอเริ่มต้นอ่านหนังสือในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น เธอรักที่จะอ่านหนังสือ
เธอลองที่จะแต่งหนังสือดูในวัยเพียง 6 ขวบเท่านั้น เธอแต่งนิทานเกี่ยวกับกระต่าย
ซึ่งนี่เธอกล่าวไว้ภายหลังว่าที่เธอแต่งแฮร์รี่ พอตเตอร์ว่า
การเขียนเรื่องของกระต่ายในวัย 6 ปีของเธอนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เธอแต่งนิยายและวรรณกรรมเยาวชน โรว์ลิ่งยังกล่าวอีกว่าเหตุผลที่เธอเป็นนักเขียนและมาแต่งหนังสือนั้น
เหตุผลแรกคือ เธอรักที่จะเขียนมัน และเหตุผลที่สอง
เธออยากให้เด็กได้เรียนรู้จากหนังสือของเธอ
ให้พวกเขานำสิ่งดีและข้อคิดในหนังสือไปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่อื่นๆ
เธออยากให้นำมันไปใช้ในเหตุการณ์จริง
ส่วนแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น
โรว์ลิ่งกล่าวว่ามีแรงบันดาลใจให้เธอนับไม่ถ้วน
ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เธออ่านหนังสือมากมายตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน
หนังสือพวกนั้นทำให้ความใฝ่ฝันที่เธอจะเป็นนักเขียนเพิ่มมากขึ้น
โรว์ลิ่งมีความสุขที่จะได้อ่าน มีความสุขที่หนังสือ วรรณกรรม วรรณคดี นิยาย
ทั้งหมดทั้งมวลที่เธออ่านคอยเพิ่มพูนความสุขมาให้
โรว์ลิ่งมักจะอยู่กับหนังสือเป็นเวลานานๆเธอไม่เคยที่จะเบื่อการอ่านเลย
หนังสือทำให้เธอมีความสุข ส่วนที่สองเกิดจากคนรอบข้างเธอตั้งแต่วัยเด็ก เช่น
เพื่อนบ้านที่คอยดูแลเธอ เป็นต้น โรว์ลิ่งล้วนรักคนพวกนั้นเธอมักนำขชื่อต่างๆที่เธอเกี่ยวข้องมาลงเขียนในหนังสือเสมอ
ไอเดียเรื่องการเขียนแฮร์รี่
พอตเตอร์เกิดขึ้นในวันที่โรว์ลิ่งขึ้นรถไฟไปหาแฟนหนุ่มที่แมนเชสเตอร์ เมืองอุตสาหกรรมแห่งใหญ่
ทางเหนือของประเทศอังกฤษ ในขบวนรถไฟของสถานีคิงส์ครอสที่จะเดินทางกลับไปที่ลอนดอน โรว์ลิ่งนั่งลงที่นั่งของผู้โดยสารโดยเริ่มแรกเธอคิดเรื่องหนังสือต่างๆที่เธอเคยอ่าน
เธอเคยลองเขียนหนังสือมาแล้วและเธออยากจะลองเขียนหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ดู
เธอคิดเรื่องที่จะเขียนหนังสือ ต่อไปเธอคิดเรื่องโครงเรื่องและแนวของหนังสือ
เธอตัดสินใจว่าจะเขียนหนังสือเด็กซึ่งก็เหมาะสำหรับเด็กวัย 8-12 ปี
เธอคิดต่อไปเรื่องแนวของหนังสือ
เธอคิดถึงหนังสือทุกเรื่องที่เธอเคยอ่านมาซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เธอเค้นหัวสมองออกมาเจอ
และคิดว่าแนวเรื่องของเรื่องที่เธอคิดนั้นเป็นอะไรที่สุดยอด
หนังสือที่เธอคิดออกก็คือ หนังสือวรรณกรรมไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของนักเขียนชาวอังกฤษเจ.
อาร์. อาร์. โทลคีน โรว์ลิ่งมองว่าการเขียนของโทลคีนเป็นการเขียนที่มีความอัจฉริยะในการเขียนหนังสือ
เธอเลือกที่จะเขียนหนังสือแนวแฟนตาซีแต่จะจำกัดอายุของผู้อ่านและให้หนังสือของเธอเหมาะสำหรับเด็กอายุ
8-12 ปี ซึ่งต่างจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ที่อ่านได้ทุกวัย
เธอพยายามคิดถึงตัวเอกเธอตัดสินใจให้เป็นเด็กชาย
ส่วนของรูปร่างหน้าตาเธอยังไม่สามารถคิดได้ เธอคิดต่อไป
จนในขณะที่เธอมองวิวนอกหน้าต่างอยู่นั้นเธอก็เกิดความคิดขึ้น
ภาพของเด็กชายตาสีเขียว ใส่แว่นตา และมีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าอยู่ตรงหน้าผาก
โรว์ลิ่งกล่าวว่าความคิดครั้งนั้นเป็นไอเดียที่ดีเลิศที่สุดของเธอ
เธอเตรียมจดเรื่องราวใส่กระดาษแต่ไม่ได้พกติดตัวมา รถไฟที่เธอนั่งเดินทางเป็นเวลา 4
ชั่วโมงถึงจะถึงลอนดอน
เธอใช้เวลา 4 ชั่วโมงทั้งหมดคิดเรื่องราวของเรื่อง และตั้งชื่อเด็กชายว่า “แฮร์รี่”
ซึ่งเป็นชื่อที่เธอโปรดปรานมากที่สุด
และตั้งนามสกุลว่า “พอตเตอร์” ซึ่งครอบครัวพอตเตอร์เป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็กของโรว์ลิ่ง
ซึ่งเธอก็ชอบครอบครัวนี้มากๆและได้ตั้งวันเกิดให้เป็นวันที่ 31 กรกฎาคม เหมือนกับเธอ
แรกเริ่มโรว์ลิ่งคิดให้เด็กชายไปเรียนโรงเรียน
ซึ่งโรงเรียนนั้นเปิดสอนวิชาเวทมนตร์ เธอคิดว่าโรงเรียนต้องเป็นปราสาทที่ลึกลับ สง่างาม ต้องเป็นโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบ สำหรับฝึกสอนพ่อมดและแม่มดที่ยังเป็นเด็ก
เธอคิดว่าโรงเรียนนี้ต้องอยู่ที่ที่เงียบสงบและห่างไกล เธอตั้งชื่อภายหลังว่า
สถาบันพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งชื่อนี้ก็ได้มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งของเพื่อนเธอ
โรงเรียนแห่งนี้ต้องอยู่ห่างไกล เธอตั้งชัยภูมิให้อยู้ทางเหนือของสก็อตแลนด์
โรว์ลิ่งคุ้นเคยกับปราสาทเก่าแก่มากมายแต่เธอไม่เคยวาดภาพปราสาทฮอกวอตส์ให้เหมือนกับปราสาทเก่าแก่ต่างๆเลย
มันเกิดจากจินตนาการของโรว์ลิ่ง
โรว์ลิ่งกล่าวว่าอยากให้เรื่องของเธอมีความแปลกใหม่ต่างจากนิยายเรื่องอื่นๆ
เมื่อรถไฟลงถึงที่ลอนดอนเธอรีบตรงกลับไปที่บ้านและจดบันทึกเรื่องราวทุกๆอย่างที่เธอคิด
เธอคิดไว้ว่าจะเขียนนิยายภาคต่อ ซึ่งเธอวางแผนว่าจะเขียนให้มีถึง 7 ภาคด้วยกัน
แต่ละเล่มคือแต่ละปีของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์
เธอจินตนาการเพื่อนๆของแฮร์รี่เพิ่มาอีกสองคน นั่นคือ รอน วีสลีย์ และแฮกริด
โรว์ลิ่งคิดเรื่องราวใหม่เพิ่มเติมลงไปให้มาก
เธอมักเขียนหนังสือที่ร้านกาแฟในเมืองเอดินบาระ
เธอคิดค้นหาชื่อตัวละครจากทุกที่ไม่ว่าจะเป็น สมุดโทรศัพศ์ ป้ายร้านค้า นักบุญ
นักรบที่เสียชีวิตในสงคราม โจร ผู้ร้าย หมู่บ้านต่างๆ รวมไปถึงสมุดตั้งชื่อเด็ก
เธอยังได้คิดกีฬายอดนิยมของพวกพ่อมดที่มีชื่อว่าควิดดิชที่เธอคิดชื่อและประวัติของกีฬา
รวมถึงวิธีการเล่นต่างๆ ลูกบอล ซึ่งโรว์ลิ่งได้นำกีฬาต่างๆมาผสมผสานกัน ได้แก่ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เบสบอล และรวมถึงการเล่นไล่จับ
ซึ่งจินตนาการของเธอถือว่ายอดเยี่ยมมากเลยที่เดียว เธอคิดถึงเรื่องราวของแฮร์รี่
พอตเตอร์ เขาเป็นใคร มีนิสัยอย่างไร อาศัยอยู่กับใคร ครอบครัวเป็นอย่างไร
จนข้อมูลทั้งหมดไหลผ่านปลายปากกาของโรว์ลิ่งโยงมาเป็นเรื่องราว
โรว์ลิ่งใช้เวลากว่า 5 ปีเพื่อที่จะทำการขัดเกลานิยายของเธอให้สมบูรณ์ ใช้ภาษาให้ดูสวยขึ้น
ซึ่งเธอก็กล่าวภายหลังว่าบทควิดดิชในหนังสือเล่มแรกเธอสามารถเขียนได้เร็วที่สุดโดยเธอเขียนเสร็จภายในวันเดียวและแก้คำไปเพียงสองถึงสามคำเท่านั้น
5 ปีหลังจากที่เกิดความคิดที่จะเขียนนิยายเรื่องนี้
หนังสือของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์และขายดีไปทั่วโลก